วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ในหลวงทรงเป็น The Greatest Charismatic Leader โดยกัปตันหมี จีรพัฒน์

เนื่องด้วยทางบริษัทของเรา ได้จัดการ training ในเรื่อง leadership development โดยได้เชิญจากวิทยากรข้างนอก ซึ่งมาอบรมให้พวกเราฟรีๆเลย วิทยากรท่านนี้ คือ กัปตันจีรพัฒน์ เอี่ยมสรรพางค์ หรือ กัปตันหมี ก่อนหน้านี้เคยเป็นนักเรียนนายเรืออากาศมาก่อน ปัจจุบันเป็นกัปตันของการบินไทย ขับโบอิ้ง 747 และครูการบิน ทางกัปตันได้เริ่มบรรยายเรื่อง leadership development มาสองปีแล้ว การบรรยายในครั้งนี้เป็นการบรรยายฟรีให้กับหน่วยงานที่สนใจ 9 หน่วยงาน เพื่อถวายแก่พ่อหลวงของเราคะ

ขออนุญาติแปะรูปจากเพจ Takeoff your Life by กัปตันหมี นะคะ ซึ่งเป็นเพจของกัปตัน ที่เพื่อนๆกด like อยู่ก่อนหน้านี้คะ


ขอแนบโพสความตั้งใจของกัปตันในการบรรยายในครั้งนี้คะ



และพี่ปูเป้ ผู้บริหารบริษัท ThaiGerTec หรือหัวหน้าคนสวยของเรา เป็นคนติดต่อมาหากัปตันเป็นบริษัทแรกเลยคะ กับความตั้งใจที่ให้พวกเราเป็นจิตอาสาไปทำงานนอกบริษัท (ไม่เกี่ยวกับบริษัทนั่นแหละ) เพื่อตอบแทนสังคม



การบรรยายในครั้งนี้ จัดขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน เวลาเก้าโมงเช้า ถึงเที่ยง ที่บริษัท ThaiGerTec ที่ทำงานของเราเอง กัปตันบอกว่าบริษัทเราอบอุ่นมาก คือบริษัทเราไม่ได้เป็นพิธีการอะไรมากมาย ดูจากเจ้านายที่แต่งตัวชิวๆทุกครั้งที่มา ทุกคนที่ทำงานก็ชิวๆ บรรยากาศดี เจ้านายเราตกแต่งออฟฟิคเองด้วย ถึงบางครั้งรูปที่เอามาติดพวกเราอาจจะงงๆในความหมายของมันไปบ้าง เห้ยยย พอๆ กัปตันเป็นกันเอง บรรยายได้ไม่มีเบื่อเลย มี passion ในสิ่งที่บรรยายเกิน 100 เลยคะ

เราไม่ได้จดแบบละเอียดทุกอณู(แบบงานก่อนๆที่เขียน)นะ เราจะจดหัวข้อสำคัญมา ทางกัปตันก็ได้ยกตัวอย่างประกอบด้วย และเราเองก็จะเขียนตามความเข้าใจของเราเนอะ บางเรื่องเราเขียนจากความรู้สึกจริงๆ อาจจะตกหล่นไปบ้างคะ เรียงถูกบ้างผิดบ้าง คำราชศัพท์ที่ใช้อาจจะไม่ค่อยเป๊ะ แต่ขอถ่ายทอดเรื่องราวได้ครบถ้วนแล้วคนอ่านเข้าใจตรงกันก็เพียงพอแล้ว

เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ เมื่อถึงเวลาการบรรยาย กัปตันแนะนำตัว ตามที่เรากล่าวไว้ด้านบน

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับนักบิน จะเริ่มที่นักเรียนการบิน มีสองขีดที่แขน จากนั้นเป็น co pilot เป็นสองขีดครึ่ง senior co pilot 3 ขีด และ captain 4 ขีด

อีกข้อ ไม่จำกัดสาขาอาชีพในการเป็นลูกเรือนะคะ อย่างวิศวะคอมสามารถไปเป็นนักบินและแอร์โฮสเตสได้ (สอบให้ผ่านเกณฑ์เนาะ)



หัวข้อในวันนี้ The greatest charismatic leader our beloved king เป็นการสอนภาวะผู้นำและนำในหลวงมาเป็นตัวอย่าง น้อมนำพระราชดำริมาปรับใช้ ให้เราเกิดแรงบันดาลใจในการทำดี เพื่อถวายแด่พระองค์ท่าน

เริ่มสไลด์หน้าแรก เปิดวิดีโอวันที่ 13 และ 14 ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์การสูญเสียครั้งสำคัญของคนไทยทั้งประเทศ คือ การเสด็จสววรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในระหว่างนี้มีนํ้าตาคลอเบ้ากันบ้างหล่ะเนอะ
กัปตันถามว่าในวันนั้นเวลานั้นเราทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป ...

หลังจากจบคลิป กัปตันได้เล่าถึงบุคคล 2 คน คือ
1. คุณอุทัย รปภ. ขับลิฟต์ ได้ถวายงานในหลวง มีวันนึงที่พี่แกประสบอุบัติเหตุ แล้วในหลวงรับเป็นคนไข้ในพระอนุเคราะห์
2. พี่แหมว กินอยู่หลับนอนที่ศิริราชเป็น 10 ปี เพื่อรับเสด็จในหลวง ปัจจุบันกินอยู่หลับนอนที่พระบรมมหาราชวัง เพราะศิริราชในใจของพวกเราทุกคน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

และมีพี่ผู้หญิงท่านนึงที่สัมภาษณ์ให้กับ CNN ในวันที่ 13 ถึงความรักที่มีต่อในหลวง

ทางต่างประเทศได้วิจัยถึงความรักของคนไทยที่มีต่อในหลวง ที่บางท่านเห็นรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านแล้วนํ้าตาไหล ปลิ้มปิติต่อพระกรณียกิจที่พระองค์ท่านทำมาตลอด นั่นคือ tearing of happiness ซึ่งสามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยมี 3 ข้อ คือ
1. อยากเป็นคนดี : เราจะเป็นคนดี
2. อยากทำความดี : ทำความดีเพื่อถวายพระองค์ท่าน
3. อยากผูกพันธ์กับคนที่ทำความดี : ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

reference ในการพูดครั้งนี้ของวิทยากร คือ พูดจากประสบการณ์ตรง ค้นคว้าจากตำรา และพลโทโสมนัส พลทหารที่ถวายงานแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นอาแท้ๆของกัปตันหมีคะ กัปตันได้กล่าวไว้ว่าคิดว่าตัวเองรู้เรื่องราวพระราชกรณีย์กิจของท่านดีพออยู่แล้ว พอโทรทัศน์ฉายสารคดี กลับพบว่ามีหลายๆเรื่องของพระองค์ท่านที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน

มีคำถามในส่วนนี้ คือ ทำไมเรารักในหลวง
คำตอบของพี่ปูเป้ : เนื่องจากพี่เขาเคยเป็นเด็กที่อยู่ในชนบทมาก่อน ได้รับสมุดพระราชาทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าของเด็กๆในยุคนั้น (ยุคเราไม่ทันเนอะ แถมเราอยู่ใน กทม ด้วย) สิ่งที่พระองค์ท่านให้ได้คือการศึกษา ท่านสอนให้เราเป็นคนดี ผลักดันให้พี่ปูเป้เป็นคนที่มีความสามารถ มีหน้าที่การงานที่ดี บ่อยครั้งที่ละเลยพระองค์ท่านไปบ้าง จนวันที่ 13 (เขียนไปนํ้าตาไหลไป) ที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคต พี่ปู้เป้ได้ระลึกถึงเรื่องราวต่างๆของพระองค์ท่าน ที่ทำความดีเพื่อประเทศชาติมากมาย (จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ แต่ทุกคนรู้สึกติ้นตันเหลือเกิน)
คำตอบของกัปตันหมี : เนื่องจากเคยเป็นนักเรียนนายเรืออากาศ และเคยได้ถวายงานเป็นมหาดเล็กรักษาพระองค์ ภูมิใจทุกครั้งที่ได้ถวายงานพระองค์ท่าน มีครั้งนึงที่งานสวนสนาม ถ้าจำเหตุการณ์ที่เคลื่อนพระบรมศพ แล้วมีตำรวจพยุงทหาร ซึ่งพี่ทหารแกไม่สบาย จะเป็นลม แต่ต้องฮึบเพื่อส่งเสด็จพระองค์ท่าน เหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน เพื่อนหทราของกัปตันไม่สบายแต่ไม่ปริปากบ่น เพื่อนๆรอบข้างช่วยพยุง ทั้งๆที่เขาสามารถไปพักเพื่อให้ทหารสำรองเข้าไปแทนที่ เพราะไม่อยากพลาดการรับเสด็จพระองค์ท่าน ได้รับพระราชทานกระบี่จากพระองค์ท่าน

มาถึงส่วนการบรรยายเรื่อง leadership อย่างจริงจังแล้ว

ภาวะการเป็นผู้นำของพวกเราทุกคนอยู่ในขณะจิต

นิยามของ leadership ค่อยๆ develop ไปตามเวลา ดังนี้
Great man theory พระเจ้าประทานมาให้ (แบบพี่ธอร์กับคฑาสายฟ้าหรอ?)
Trait theory มีบุคลิกน่าเชื่อถือ มีนํ้าเสียงดุดัน ตัวใหญ่ ซึ่งแล้วคนตัวเล็กหล่ะ เป็นผู้นำได้ไหม?
Behavioral theory ความเป็นผู้นำสามารถฝึกฝนกันได้
Situational or Contingency leadership theory เอาผู้ตามเป็นศูนย์กลาง ผู้นำเปลี่ยนตามผู้ตาม
Transformational leadership theory รู้จักผู้ตาม ให้คำแนะนำส่งเสริม
สองสามอันหลังจะดู modern หน่อย และ
Charismatic leadership ผู้นำโดยบารมี อันนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสีย คือ ผู้นำมีบารมี ไม่สนใจผู้ตาม ผู้ตามทำตามทุกอย่าง สั่งให้ไปตามก็ไปทำ อันนี้ไม่ค่อยแพร่หลาย และแปลเป็นไทยตรงตัวคำไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ บางคนจะนึกถึงคำว่า คาริสม่า ซึ่งหมายถึงเสห่น์ แต่ในบริบทนี้ไม่ใช่

ในหลวงทรงเป็นผู้นำแบบ inspiration leader สร้างแรงบันดาลใจให้กับพสกนิกรชาวไทย

การเป็นผู้นำก็เหมือนการปรุงอาหาร ส่วนใหญ่รู้วัถตุดิบแต่ไม่สามารถปรุงให้อร่อยได้ สูตรลับก็คือ secret sauce เหมือนว่าเชฟแต่ละคนมีวิธีทำให้อาหารอร่อยโดยวิธีที่แตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล

competent leader ปรุงอาหารได้ แต่ไม่อร่อย เป็นผู้จัดการ ไม่ใช่เป็นผู้นำ

charisma is a gift ประโยคนี้จริงหรือเปล่า

จาก หนังสือเล่มนี้ The Inspiring Leader: Unlocking the Secrets of How Extraordinary Leaders Motivate เป๋นหนังสือขายดีของ new york time ได้บอกเคล็ดลับ 5 ข้อของการเป็นผู้นำที่ดี


1. clear vision : มีวิสัยทัศน์ชัดเจน
vision วิสัยทัศน์ คือ คาดการณ์สิ่งที่มองไม่เห็นในอนาคต มองการณ์ไกล คนอื่นเห็นประโยชน์ และมีการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง
สิ่งที่ตามมา คือ mission พันธกิจ หมายถึงภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบ

- "เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม" ประโยคนี้ คือ mission ของพระองค์ท่าน ซึ่งรับภาระอันหนักอึ้งจากพระเชษฐา ในการดูแลปวงชนชาวไทย

2. technically savvy : รู้และชำนวญในสิ่งที่ตัวเองทำ เรียนรู้ตลอดเวลา
learning skill : รู้เรื่องนั้นให้ดีกว่าคนอื่น อ่านหนังสือ ให้เป็น top 10 ในสายอาชีพให้ได้
เราต้องเรียนรู้ที่จะรักงาน ทั้งๆที่เราไม่ชอบงานที่ทำ ศึกษาและทำมันให้ดี
กัปตันบอกว่าพวกเราอายุยังน้อย อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ ไม่ใช่ว่าเราอยู่ที่เดิม แต่เราถอยหลังลง

- ในหลวงของเราครองราชย์ในช่วงที่กำลังศึกษาต่อต่างประเทศ ในใจพระองค์ท่านไม่คิดว่าพระเชษฐาจะสวรรคตเร็วขนาดนี้ อยากอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่พระเชษฐา ก่อนหน้าในหลวงศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ก็ต้องเปลี่ยนมาศึกษาต่อด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์ เพื่อดูแลประชาชนของท่าน เมื่อวันที่ท่านกลับไปศึกษาต่อต่างประเทศ มีคนกล่าวกับพระองค์ท่านว่า ทรงอย่าละทิ้งประชาชน

- พระอัจฉริยะภาพของพระองค์มีหลายด้าน ทั้งการกีฬา เช่น กีฬาเรือใบตอนแข่งกีฬาแหลมทอง ด้านดนตรี ด้านการถ่ายภาพ ด้านภาษา โดยในหลวงทรงพูดได้ 5 ภาษา คือ ภาษาไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และลาติน ทำไมพระองค์ท่านทรงศึกษาภาษาลาตินหล่ะ เพราะต้องการศึกษากฎหมายให้ถึงราก

3. drove hard for exceptional people : ทำงานหนัก
สิ่งที่องค์กรหรือตัวเราต้องมี คือ vision mission และ value สิ่งที่เรายึดถือ

- ธรรมเนียมของกษัตริย์ใหม่ คือแนะนำตัวกับนานาประเทศรอบข้าง ซึ่งในหลวงทรงเลือกที่จะไปเยี่ยมเยียนราษฏรในภาคต่างๆ เพื่อดูความเป็นอยู่ของประชาชนของท่าน

- ในหลวงทรงเรียนรู้ที่จะรักงานของพระองค์ท่าน เรียนรู้ที่จะรักประชาชน

- ในหลวงทรงงานทุกวัน แม้กระทั่งเวลาประชวร มีอยู่ครั้งนึงที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง แต่ยังทรงห่วงงาน ให้ข้าหลวงนำคอมพิวเตอร์มาตั้งไว้หน้าห้องผ่าตัด เพื่อ monitor พายุ (เนื่องจากพระองค์ท่านต้องก้มลงไปคุยกับชาวบ้านตลอดเวลา ลุกๆนั่งๆ ทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทคะ)

- หลังจากที่ในหลวงและพระราชินีอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์เสด็จไปฮันนีมูนที่หัวหิน และโครงการในพระราชดำริแรกของสองพระองค์ คือ โดยพระราชทานรถบูลโดเซอร์ เพื่อตัดถนนที่หัวหิน ให้ประชาชนสัญจรได้อย่างสะดวก

4. cared about and developed people : ห่วงใยความรู้สึกของผู้ตาม
insight the searchlight of attention ผู้นำเอาตัวไปหาผู้ตาม ทำตัวให้เท่ากับผู้ตาม ลงไปคุยหรือคลุกคลีกับลูกน้อง ทำให้ลูกน้องกล้าคุยกับหัวหน้า

- ในหลวงพระราชทานปริญญาบัตรถึงปี 2540 เนื่องจากพระวรกายของพระองค์ท่าน สาเหตุที่พระองค์ท่านพระราชปริญญาบัตรให้กับบัณฑิตปริญญาตรี ซึ่งมีจำนวนมาก เพราะว่า ครอบครัวบัณฑิตดีใจที่ลูกสำเร็จการศึกษา พระองค์ท่านทรงเห็นบัณฑิตเหมือนลูกๆของพระองค์เอง จึงทรงยินดีด้วยและฝากฝังปณิธานไปสู่บัณฑิต

หลายครั้งที่ในหลวงและพระราชินีทรงงานในพื้นที่ชนบท ทุรกันดาล มีหลายเหตุการณ์ที่ประทับใจปวงชนชาวไทย สรุปจากกัปตันมี 2 เหตุการณ์
- คุณยายตุ้ม อายุ 102 ปี ที่จังหวัดนครพนม รอรับเสด็จในหลวงตั้งแต่สิบเอ็ดโมง โดยลูกสาวแกเป็นคนพาไป แต่จุดที่ยายรอรับเสด็จดันไม่ใช่เส้นทางที่ในหลวงผ่าน ในหลวงทรงทราบว่ามีประชาชนส่วนนึงมารอรับเสด็จท่าน จึงผ่านทางนั้นเพื่อเสด็จกลับ คุณยายได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่าน ได้ถวายดอกบัวสีชมพูสามดอก ซึ่งดอกบัวเหล่านั้นรอเวลาไม่ไหวจึงเหี่ยวไปเสียก่อน ในหลวงรับดอกบัวจากคุณยาย ยังความประทับใจให้คุณยาย สองปีให้หลังคุณยายเสียชีวิตอย่างสุขสงบ
- คุณป้าท่านนึง ป่วยหนักปวดท้อง ในสมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญ ไม่รู้ว่าป้าแกปวดท้องเป็นอะไร แต่แกนอนในเปลแล้วให้คนแบกมาเพื่อรอรับเสด็จในหลวง ด้วยอาการที่ไม่สู้ดัของป้า พระราชินีทรงทอดพระเนตรและตรัสถามป้าท่านนั้น พอทรงทราบความ จึงให้คนไปวอบอกในหลวง ซึ่งดูงานอยู่ในหุบเขา ที่ชาวบ้านทำการระเบิดเขาเพื่อเปิดทาง ในหลวงทรงวิ่งมาหาป้า และรับสั่งว่าให้ป้าขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนพระองค์ท่านจะทรงเรือกลับ สุดท้ายป้าแกปลอดภัยจากอาการไส้ติ่งแตก เพราะในหลวงส่งป้าไปรักษาทันเวลาคะ

5. high integrity and honesty : ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม สามารถตรวจสอบได้
start with why เราทำวันนี้เพื่ออะไร คิดถึงตัวเองก่อน ไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะ คือรักตัวเองก่อน พอมีมากพอแล้วค่อยเผื่อแผ่ไปให้คนอื่น

The Making of an Inspirational leader
1. be a role model เป็นแบบอย่างที่ดี

2. change champion initiator สร้างความสำเร็จให้ไม่เหมือนคนอื่น หรือเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตามรอยคนอื่น เช่น ในหลวงเสด็จไปในที่ทุรกันดารที่คนเข้าไปไม่ถึงเพื่อช่วยชาวบ้าน

3. actions speak louder that word การกระทำสำคัญกว่าคำพูด จะทำอะไรลงมือทำให้เห็นเลย มีความเพียรพยายามในการทำสิ่งนั้นๆ

ความประหยัด มัธยัส พอเพียง ของพระองค์ท่าน เป็นที่จดจำของปวงชนชาวไทย สรุปจากกัปตันได้ดังนี้
- ยาสีฟันที่พระองค์ท่านทรงบีบจนหมดหลอด เราเหมือนจะเคยเห็นของจริงน่าจะพิพิธภัณฑ์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เราเห็นแล้วทึ่งกับพระองค์ท่าน เพราะเราไม่สามารถบีบได้จนแบนแบบนั้น หรือหลอดยาสีฟันสมัยนี้บีบให้แบนแบบพระองค์ท่านได้ยาก? (สมัยนี้หลอดยาสีฟันเป็นพลาสติก สมัยก่อนน่าจะเป็นเหล็ก)
- อุปกรณ์การทรงงานของท่านมี 3 อย่าง คือแผนที่ที่พระองค์ท่านทรงวาดอย่างละเอียด ดินสอที่ใช้จดหมดด้ามและยางลบที่แทบไม่เหลือ พระองค์ท่านทรงเบิกปีละ 12 แท่ง เฉลี่ยพระองค์ท่านใช้ดินสอเดือนละแท่ง กัปตันหมีแอบแซวลูกสาวว่ามักจะทำดินสอหายเป็นสองพันครั้งต่อปี และสุดท้ายกล้องถ่ายภาพ
- เรื่องจักรยาน ด้วยความที่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พวกเจ้าก็ระหดระเหินไปยังต่างประเทศ สมเด็จย่าสอนในหลวงให้รู้จักอดออม ท่านอยากได้จักรยาน จึงเอาเงินเก็บมาซื้อ แต่เงินไม่พอ สมเด็จย่าเลยออกเงินให้ครึ่งนึง
- โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เริ่มจากเงินเก็บของพระองค์ท่าน 38000 บาท (อันนี้ไม่ทราบว่าสมัยนี้ค่าเท่าไหร่) มาทำโครงการพระราชดำริ เช่น นมอัดเม็ดสวนดุสิต โรงเพาะเลี้ยงเห็ดหลินจือ ไอโอดีเซล โรงสีข้าว

พระสุรเสียงสุดท้ายที่ประชาชนได้ฟัง คือวันที่ 4 ธันวาม 2556 ที่พระราชพรแก่ประชาชนของท่าน พระองค์ท่านทรงเหนื่อยมามากในการดูแลประชาชนของท่าน เนื่องจากพระชนมายุของพระองค์ท่านมากขึ้นทุกวัน พระสุรเสียงของพระองค์ท่าน เหนื่อยล้าลงทุกปี

ส่วนวันที่ให้ตุลาศาลเข้ารับตำแหน่ง จำไม่ได้ว่าปีอะไร น่าจะ 2557 พระวรกายท่านไม่สู้ดีนัก จึงไม่ได้ประทานพรให้แก่ผู้รับตำแหน่ง

กัปตันหมีได้กล่าวเสมอว่า พ่อพอเถอะ พ่อเหนื่อยมามากพอแล้ว

โครงการในพระราชดำริ มี 4447 โครงการ ในตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ 70 ปี

บางเรื่องพระองค์ท่านเคยกล่าวไว้ก่อนชาติตะวันตก เช่น เรื่องภาวะโลกร้อน พระองค์บอกว่ามาจากก๊าชคาร์บอนที่ก่อตัวเป็นกระจกที่ด้านบนชั้นบรรยากาศ (เราอาจจะอธิบายงงๆไปเสียหน่อย) พระองค์ท่านบอกสาเหตุที่แท้จริงของภาวะโลกร้อน คือ ความโลภของมนุษย์ 

การทำ infographic ฝนหลวง ทรงมีพระอารมณ์ขันสอดแทรกไปด้วย

บางเรื่องพระองค์ท่านกล่าว แต่ไม่มีใครสนใจ เช่น เศรษฐกิจพอเพียง โครงการแก้มลิง

และสุดท้าย 9 บทเรียนในช่วงเวลานี้ โดยมีที่มาจากบทความ 9 บทเรียนจาก 3 วันที่ผ่านมา จากบล็อกของคุณ ANONTAWONG MARUKPITAK ดังนี้
1. ปัญหาของเรามันเล็กน้อยมาก : พระองค์ท่านเจอปัญหามามากมายเมื่อเทียบกับปัญหาของเรา และถ้าเราเจอปัญหากับอะไรก็ตาม สักพักเราก็จะลืมมันไป (ส่วนตัวคิดว่าข้อความนี้ไม่ได้ครอบคลุมคนที่เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแหะ ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่ค่อยดีนัก)
2. สิ่งที่ทำให้ท่านเหนือกว่าคนอื่น คือ ความเพียรพยายาม ความวิริยะอุตสาหะของพระองค์ท่าน
3. เหตุผลของการดำรงอยู่ : ความหมายของชีวิต เราทำไปเพื่ออะไร (คล้ายๆเราเกิดมาเพื่อทำอะไร)
4. ความเป็นที่รักและเคารพ : ไม่ใช่บารมี แต่เกิดจากการที่เราทำอะไรให้คนอื่น (ความเข้าใจของเราคือไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือต่อยอดผลประโยชน์) เราสามารถเริ่มจากการเป็นคนดี ที่ไม่เป็นภาระต่อสังคม
5. ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป : เราเป็นคนดีพอหรือยัง?
6. เรื่องบางเรื่องเอาไว้ทีหลังไม่ได้ : บางเรื่องคือพลาดแล้วพลาดเลย ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
7. ถึงเวลาโตได้แล้ว : เราต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ อย่าพึ่งพาคนอื่นเพียงอย่างเดียว เช่น บางคนบอกว่าไม่มีในหลวงแล้วประเทศจะเป็นอย่างไร (คืองงกับคนคิดแบบนี้ ทำไมเราไม่ช่วยกันทำอ่ะ ในเมื่อเราก็อยู่ในสังคมเดียวกัน)
8. อย่าให้เหตุการณ์สูญเปล่า
9. ชีวิตต้องดำเนินต่อไป : เศร้าได้แต่อย่านานนะจ๊ะ

การอบรมในครั้งนี้จบลงอย่างสวยงาม แบบไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งนํ้าตาของเพื่อนร่วมงานที่มีต่อในหลวงของเรา นํ้าตาคลอกันถ้วนหน้า มีการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และถวายความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ธรรมเนียมของทุกงานคือการชักภาพที่ระลึกร่วมกัน ต่างคนต่างขอบคุณซึ่งกันและกัน ทางพวกเราขอบคุณที่วิทยากรแชร์เรื่องราวดีๆ ทางวิทยากรก็ขอบคุณพวกเราสำหรับประสบการณ์ในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างประทับใจกันไม่รู้ลืม



ดังนั้นเราจึงขออนุญาติกัปตันหมีเพื่อส่งต่อเรื่องราวดีๆแบบนี้ ซึ่งทางกัปตันมีความยินดีอย่างมาก เพื่อให้หลายๆท่านที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง ได้อ่านกันจนจบคะ :)

ป้ายกำกับ:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก