วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

free workshop "Presentation ให้ทะลุถึงหัวใจ" พร้อมการเตรียมตัวอย่าง strong โดย อาจารย์สมบัติ ทรงเตชะเลิศ

ประโยชน์สำหรับคนที่เรียนหลักสูตรการจัดการนวัตกรรมสำหรับผู้ประกอบการ นอกจากจะได้รู้จักเพื่อนร่วมรุ่นหลากหลายอาชีพแล้ว ยังมีเพื่อนๆและรุ่นพี่ใจดีช่วยแบ่งปันความรู้ด้วย ในกิจกรรม The Night for NIA-DEI Society จัดขึ้นในวันพุธที่สองของทุกเดือน ในครั้งนี้เป็นครั้งที่สองโดย อาจารย์สมบัติ ทรงเตชะเลิศ วิทยากรด้าน Presentation และนักเรียนรุ่น13 ซึ่งเป็นรุ่นพี่เรารุ่นนึง
(เรารุ่น 14 แต่รุ่น 15 ตอนนี้เปิดแล้วนะ)
(ครั้งแรกเป็น digital marketing โดยพี่เซียร์คนสวย รุ่น 13 เช่นกันคะ)

ปล มีทั้งกล้องมือถือกับไอแพดถ่าย ขนาดรูปอาจจะดูงงๆสำหรับคนอ่าน และหยิบยืมรูปในกรุ๊ปไลน์จากพี่ป๋อและพี่ปุ้ยอีกเช่นเคย



Agenda ของวันนี้คะ

คอร์ส "Presentation ให้ทะลุถึงหัวใจ"
วันพุธที่ 9 พย.59 เวลา 
13:00 - 17:00 น. เนื้อหา และ 
18:00 - 19:30 น. Work Shop  

เนื้อหาคือ
- เคล็ดลับสู่ความสำเร็จของการนำเสนอของ Steve Jobs ในการเปิดตัว Apple ที่ตราตรึงคนทั้งโลก และไม่ผิดหวังทุกครั้งสำหรับเหล่าสาวกต่างๆ
- สูตรสำเร็จการทำ Presentation และการจัดวางตำแหน่งสำคัญๆ
- เทคนิคการสร้างความมั่นใจให้ก้าวข้ามความกลัว และความวิตกกังวลต่างๆ
- วิธีการครองเวทีแบบสุด Strong ครองใจผู้ฟังแบบไร้ข้อกังขา
- และเทคนิคการหาภาพนับแสนภาพที่ถูกลิขสิทธิ์และสามารถนำไปใช้ได้ทันทีแบบไม่ต้องให้เครดิต
รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 4 แบบไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น พร้อมการดูแลอย่างดีเหมือนเช่นเคยจาก NIA ครับ

มาดูกันดีกว่าว่าบรรยากาศการเรียนอย่างอบอุ่นของพวกเรา สนุกสนานกันแค่ไหน มาลุยกันเลยยยย

เนื่องจากวันนี้ ฝนตก งานเริ่มเลทนิดนึง
ระหว่างนี้อาจารย์สมบัติได้เปิดวิดีโอข่าวการสร้างตึก 59 ชั้นในจีน ที่ใช้เวลาเพียง 19 วันเท่านั้น


คลิปนี้บอกอะไรเรา บอกถึงการเตรียมตัว การวางแผนงานล่วงหน้า จะได้ทำงานได้สำเร็จลุล่วงโดยง่าย

กิจกรรมที่จัดในช่วงนี้ ต้องมีการถวายความอาลัยแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี




อาจารย์สมบัติได้เล่าถึงประสบการณ์การพรีเซนต์ที่เจอมา ไม่ชอบแบบที่สไลด์มีเนื้อหามากเกินไป
และได้ฝากมาสองประโยค ดังนี้



และอีกคำพูดนึง ของ warren buffett ซึ่งไม่มีในสไลด์นี้ ที่จำได้ประมาณว่า 
การนำเสนอที่ดี คือ การมีสินทรัพย์ที่ดี

จากนั้นอาจารย์ก็ได้พูดถึง agenda ในวันนี้ ซึ่งนำเสนอสองแบบ คือ แบบตัวหนังสือล้วน กับแบบภาพ ซึ่งรูปภาพสามารถสื่อความหมายได้ดีกว่า

เช่น การ present พิธีปิดโอลิมปิกที่บราซิล ที่มีการส่งไม้ต่อไปยังญี่ปุ่น เนื่องจากตอนนี้ญี่ปุ่นเศรษฐกิจตกตํ่า เขาเลยจะสื่อทุกอย่างที่เป็นญี่ปุ่นที่เราจับต้องได้ ใน concept Japanese cool เน้นไปทางเรื่องเกมส์และอนิเมชั่น ซึ่งมีพี่โดราเอม่อนทำหน้าที่โปรโมต Tokyo game 


เนื้อหาในวันนี้ จะสรุปเป็นรูปภาพสิบรูป ผ่าน line@ @presentationgear โดยพิมพ์ nia1 และ nia2 ซึ่งในบล็อกนี้ก็จะสรุปไว้เหมือนกัน

จากนั้นอาจารย์ได้แนะนำตัวเอง ซึ่งมีประสบการณ์หลายด้าน ทั้งการตลาด ประชาสัมพันธ์ เป็นวิทยากรสอน SME และทำงานจิตอาสาด้วย และสไลด์นี้มีรูปครอบครัวของอาจารย์สมัยยังเด็ก เป็นภาพสี ที่สมัยนั้นค่อนข้างแพงอยู่ คุณพ่อของอาจารย์ได้บอกว่า ทำอะไรให้ดีที่สุด

ระหว่างนี้เราแอบกระซิบบอกนิดนึง เราแอบเห็นสไลด์ทั้งหมดของอาจารย์ มี 296 หน้า แต่เกือบทุกหน้า มีแต่รูปภาพทั้งนั้น ตัวหนังสือค่อนข้างน้อย และไม่ได้เป็นประโยคยาวๆด้วยนะ มาเป็นคำสั้นๆ

สถิติการนำเสนอ
- น่าเบื่อ :( 57%
- ทรมาน :| 28%
- สนุก :) 15%

ดังนั้น 3 นาทีแรกเป็น hi-light ทั้งหมดของการนำเสนอ ถ้าเราทำได้ ทำให้ผู้ฟังอยู่กับเราไปตลอดจนจบการนำเสนอ

สมการอยุติธรรม
ทำงานไม่เก่ง + นำเสนอเก่ง = เก่ง
ทำงานเก่ง + นำเสนอไม่เก่ง = ไม่เก่ง

ถ้าเปลี่ยนเป็นแบบนี้หล่ะ
ทำงานเก่ง + นำเสนอเก่ง = เก่ง
ส่วนตัวคิดว่า ก็คงจะดีไม่น้อยเนอะพวกเรา เพราะหัวหน้าจะมองว่าเราเป็นคนทำงานดี มีประสิทธิภาพ มีผลต่อเงินเดือนในแต่ละปี ทำนองนี้

รูปภาพจูงใจเรามากกว่าตัวหนังสือ เพราะรูปโดดเด่นกว่า

ตัวอย่าง การนำเสนอไอโฟนรุ่นแรกของสตีฟ จ็อปส์ ศาสดาแอปเปิ้ล
สิ่งที่ได้จากการนำเสนอของท่านศาสดา คือ 3 นาทีแรกน่าสนใจ, รูปภาพโดนใจ, เอาแต่ high-light มานำเสนอ จากนั้นค่อยพูดแต่ละ feature ทีหลัง
ใจความของการนำเสนอ คือ 3 Revolutions อันประกอบไปได้ iPod จอกว้าง + phone + internet



หลักการที่ท่านศาสดาใช้ คือ TURN
T time เวลา ไม่ใช่เวลาการนำเสนอนะ คือการใส่เวลาที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นปีที่เกิด หรือสถิติด้านเวลา เช่น ไอพอตเกิดขึ้นปีไหน
U unique มีความโดดเด่น ให้คนฟังเห็นแล้วเข้าใจ เช่น ตัว 3 Revolutions
R result บอกถึงองค์ประกอบต่างๆ ว่ามีผลลัพธ์อย่างไร เช่น 3 Revolutions รวมกันแล้วได้ ไอโฟน
N number ตัวเลข บอกถึงสถิติหรือประสิทธิภาพที่ดีขึ้น เช่น จอกว้างขึ้นจากเดิม xx % (อันนี้สมมุติเอา)

การนำเสนอที่ดีอีกอย่างตามหลักของ TURN ที่เราเห็นได้ชัดเจน คือ infographic

การเตรียมตัวในการนำเสนอ มีองค์ประกอบหลายอย่าง ทำอย่างไรให้มั่นใจ และมีพลังได้อย่างเต็มที่
ใช้หลักการของ ฺBOSS
B brainstorm มีการประชุมกันว่าควรจะนำเสนอแบบไหน อย่างไร มีอะไรบ้าง
O objective มีเป้าหมายการนำเสนอ เช่น แนะนำบริษัท เสนอขาย บอกกระบวนการทำงาน
S Storyboard/slide ตรงตัว ก็คือสไลด์ของเรานั่นแหละ
S speak การพูด

คนทุกคน ชอบเรื่องราวของคนอื่น (พูดง่ายๆ คือ มีดราม่าอะไรแล้วชอบไปมุงกัน เป็นต้น)
พูดในเรื่องที่ผู้ฟัง อยากฟัง

Elevator pitching เกิดจากคนท่านนึงอยากเสนอไอเดียหรือผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริหาร ดังนั้นจึงสำรวจว่าผู้บริหารคนนั้นขึ้นลิฟต์ตอนกี่โมง ใช้เวลาเท่าไหร่ในลิฟต์ ซึ่งใช้เวลา 50 วินาที เตรียมตัวไปนำเสนอ พอวันนึง เขาได้ก็นำเสนองานผู้บริหารในลิฟต์ และการเตรียมตัวก็เป็นผล ผู้บริหารสนใจลงทุนงานเขา และให้ไปคุยต่อด้านในห้องทำงาน คนไทยมีกรณีนี้เช่นกัน คือ คุณแจ็ค clam di ใช้เวลา 24 วินาที โดยสรุปใจความเพียง 3 ประโยคเท่านั้น ยกตัวเลขขึ้นมาชัดเจนเลย ว่าใช้แอปตัวนี้ได้อะไรบ้าง ซึ่งเราเคยฟังคุณแจ็คพูด ในงาน MEGA2014 ในเรื่องแอปนี้แหละ คิดว่าแปะลิ้งให้อ่านเลยแล้วกัน อาจจะได้ไอเดียเพิ่มเติม

สรุปหลักการ คือ พูดให้กระชับ ได้ใจความ เอาหลักการ TURN มาใช้ได้นะตัวเอง

ตัวสไลด์ เน้นรูปภาพที่เห็น ไม่ใช่เน้นรูปภาพที่ต้องอ่าน SEE not read คือเห็นแล้วรู้ว่าเป็นอะไร
การวางตำแหน่งในสไลด์ ใช้ตาราง 9 ช่อง (คนถ่ายภาพน่าจะรู้จักดี) มี 2 จุดน่าสนใจ คือ ตรงกลาง และจุดตัดตรงกลาง 4 ช่อง

ตัวอย่าง ... แคปจาก instagram แล้วกันเนอะ
อย่างหนังสือทำอาหารเล่มซ้ายล่างก็จะอยู่ในจุดตัดจุดนึง
(เลือกรูปที่น่าจะเข้าที่สุดแล้ว เพราะควานหาในมือถือแล้วยากเหลือเกิน เลยรูปนี้ก็ได้มั้ง ส่วนแปดรูปข้างล่างก็ช่างๆมันเถอะ ถ้ารูปแก้ว Starbucks อาจจะเอาโลโก้มาไว้ตรงกลางภาพอะไรงี้)
ของอาจารย์ตัว cover presentation ก็ใช้หลักการนี้เช่นกัน


Rule of slide เอาองค์ประกอบให้ครบตามความคาดหวังของคนฟัง ไม่เช่นนั้นคนฟังจะผิดหวัง..เล็กน้อย
ตัวหนังสือ เสียง คลิป รูป ต้องให้เรียบร้อย
เช่น การเปิดเสียงหมาหอนในหน้าที่เป็นรูปผี อันนี้อาจารย์ลืมปรับเสียงให้ดัง เลยเบาไปหน่อย บรรยากาศพอได้ฝนตกอยู่

อันนี้ใช้หลักการของผี หรือ GHOST
G giant รูปและตัวหนังสือ ตัวใหญ่ๆ
H hot รูปภาพที่ร้อนแรง เร่าร้อน เช่น ภาพปิ้งย่างที่ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์แห่งนึง ที่ไฟแดงมากๆ
O original อาจจะเป็นภาพที่เราถ่ายเอง ทำเอง หรือ ภาพถูกลิขสิทธิ์
S simple เรียบง่าย
T talent มีดีไซน์ที่ดีและมีความโดดเด่น
การใช้สี อย่าใช้วีจัดจ้านหรือแม่สี ควรลดสีลงมา 1-2 เฉดสี ใช้หลักการ less is more


ทุกท่านตั้งใจเรียนกันมากเลย จากนั้นได้เวลาของว่างบ่ายจ้าาาาาาาา


เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้ว กลับมาสู่เนื้อหาในช่วงหลังกัน

ให้คิดว่าสิ่งที่เรานำเสนอเป็นไปได้ และหาวิธีทำมันให้สำเร็จ
เช่น การ pitching ของ Jack ma ให้เพื่อนๆฟัง ตอนจะก่อตั้ง Alibaba


ถ้าเปิดคลิปดูในบล็อกไม่ได้ เปิด youtube โลดคะ https://www.youtube.com/watch?v=Up9-C4_8dVo เพราะเขาจำกัดเปิดได้ในบางเว็บเท่านั้น

ในช่วงครึ่งแรก เป็นเนื้อหาสูตรสำเร็จในการนำเสนอกันไปแล้ว เหลือแต่วิธีการสร้างความมั่นใจ

Ensuring การสร้างความมั่นใจที่จะนำเสนอได้อย่างเต็มที่ don't panic อย่าตื่นตกใจกลัว
ใช้หลักการของ CAMERA รัวๆ
C content เนื้อหา รู้กลุ่มเป้าหมายของเรา ผูกใจด้วยอะไร สร้างเนื้อหาออกมา เช่น คลิปบาบิคิวพลาซ่า ตอนวันแม่ ที่พนักงานพาแม่มากินบาบิกอนนั่นแล


A audience รู้จักกลุ่มผู้ฟัง เราต้องคำนึงว่าผู้ฟังต้องการอะไร
เช่น อาจารย์เล่าเรื่องกระต่ายอยากกินปลาทอง เลยเอาแครอทที่ตัวเองชอบกินมาล่อ ปรากฏว่าสามวันแล้วปลาทองก็ไม่สนใจ จนรำคาญ เลยบอกกระต่ายว่า ชั้นไม่กินแครอท เพราะมันไม่ใช่อาหารของชั้นนะ

M myself รู้จักตัวเองว่าเก่งในเรื่องอะไร และด้อยในเรื่องอะไร

การเตรียมตัวในการนำเสนอ
ไปดูสถานที่จริง โดยไปก่อนเวลานำเสนอจริง ตรวจอุปกรณ์ว่าทางสถานที่มีอะไร ไม่มีอะไร เราต้องเอาอะไรมาเพิ่มเติมบ้าง ดูบรรยายกาศโดยรวมของสถานที่ ทำเป็น checklist ออกมาเลยก็ได้นะ

การนำเสนอ พูดให้คนฟังได้ประโยชน์ slide อยู่ในช่วงเวลาใดในการนำเสนอ จัดกลุ่มให้เรียบร้อย และรวมเป็นหนึ่งเดียว

สรุปรวบตามนี้เลย


การครองเวทีอย่างสุดสตรองงงงงงงงงง
ใช้หลักการ WHO STEP
W walk เดินไปหาคนฟัง
H hand การวางมือ สรุปง่ายๆแบบเจ็ดปวด คือ มือควรอยู่ในช่วงพุงนี่แหละ
O overview สบตาคนดูอย่างทั่วถึง

S smile ยิ้มให้คนฟัง
T tone of voice มีจังหวะหนักเบา ใช้เสียงเน้นความสำคัญของเนื้อหา
E eye contact สบตาคนฟัง มี step คือ look lock talk
P participate การมีส่วนร่วมของคนฟัง

ถ้าคนฟังเขาเริ่มไม่ฟังเราแล้วหล่ะ หันไปคุยกับคนข้างๆ กดมือถือ ทำไงดี
ต้องมีการ state change ดึงให้คนฟังสนใจเรา
เช่น ให้คนเปลี่ยน action มาทำกิจกรรมร่วมกัน

ระยะห่างระหว่างคนนำเสนอและคนฟัง จะเป็นดังนี้ ห่างตามความสนิทสนม


การ spinning idea คือ การคิดไอเดียของคนในทีมออกมา มีหลักการ คือ
- yes them รับฟังความเห็นทั้งหมด
- grouping นำทั้งหมดมาจัดกลุ่ม
- ถูกจำกัดด้วยเวลา

ตัวอย่าง พินัยกรรมอวัยวะ คือ การที่ผู้เสียชีวิตบางท่านแสดงเจตจำนงของบริจาคอวัยวะ แต่ญาติไม่ยอมด้วยเหตุผลต่างๆ ซึ่งทำให้การบริจาคอวัยวะไม่สำเร็จ แนวคิดคือถ้าคนตายมาบอกเองจะเป็นอย่างไร



เนื่องจากส่วนใหญ่ที่มาเข้าอบรมนี้ อายุก็มากกว่าเราหลายปีอยู่ ผู้ใหญ่ทั้งนั้นเลย ดังนั้นดูจบ นํ้าตาซึมเป็นแถบๆจ้า อาจารย์ก็ได้ถามหมอนพถึงคนตายแล้วคือสมองหยุดทำงาน คุณหมอได้ตอบว่าสมองเป็นศูนย์กลางควบคุมทุกสิ่งอย่างในร่างกาย ถ้าสมองตายก็ทำให้อวัยวะหยุดทำงาน ถึงแม้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วยให้สมองตายสามรรถฟื้นขึ้นมาได้ แต่ก็ส่วนน้อยมากๆ

และอีกตัวอย่าง คือ การขายหนังสือในคุก เนื่องจากการมีชีวิตอยู่ในคุกของนักโทษถูกจำกัด และไม่มีอะไรทำมากมาย การให้นักโทษได้อ่านหนังสือ ทำให้เขามีความรู้ และความมั่นใจกลับมาส่วนหนึ่ง

มาที่ช่วง คำถามจากผู้ร่วมอบรม จดในสิ่งที่เราสนใจจริงๆ

คำถามแรกจากพี่ๆ NIA ถ้าเรานำเสนอกฎระเบียบ ข้อบังคับ ซึ่งตัวหนังสือเยอะมาก จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น
อาจารย์ตอบว่า ใส่ agenda แล้วแตกหัวข้อออกมา พร้อมใจความสำคัญ ส่วนเนื้อหาอย่างละเอียดก็ทำเป็นเอกสารแจกเพิ่มเติม โดยนำเสนอให้คนฟังเข้าใจได้ทันที มีบทสรุปว่าได้อะไร

คำถามต่อมาจากพี่หนุ่ม ไป present เรื่องเดียวกันหลายรอบ เหมือนจะปิดการขายได้ แต่ต้อง present ใหม่อีก จะทำอย่างไร
อาจารย์ตอบว่า เรื่องนี้แบ่งเป็นสองส่วน คือ ปัจจัยภายใน คือ ตัวเรา และปัจจัยภายนอก คือ ทางองค์กรนั้นๆ นำเสนอให้โดนใจตั้งแต่ทีแรก เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจของการ present รอบต่อๆไป และที่สำคัญ ต้องรู้ว่าใครมีอำนาจตัดสินใจในส่วนที่เรานำเสนอขาย

คำถามสุดท้ายจากพี่ๆ NIA เช่นเคย สรุปใจความคือ พูดในสิ่งที่พวกพี่ๆเขาอยากได้ แต่ผู้ใหญ่ไม่ค่อยอยากฟัง
คำตอบ จากเนื้อหาด้านบน คือ ให้พูดในสิ่งที่ผู้ฟังอยากฟัง ดังนั้นพูดให้เขาเข้าใจเหตุผล ว่าทำไมต้องทำในสิ่งที่เราอยากได้ เช่น ทำให้มีกำลังใจในการทำงาน ซึ่งต้องมากกว่าสิ่งที่เขาให้

มาถึงช่วงท้ายแล้ว

เว็บรูปที่เราสามารถเอาไปใช้ได้โดยไม่มีลิขสิทธิ์ คือ pixabay เราเอาไปส่องแล้ว รูปฟรีดีๆสวยๆเยอะมากจริงๆ ถ้าหาในนี้ไม่เจอ ถาม google เลยคะ แต่ตรวจสอบเรื่องลิขสิทธิ์ด้วยเนอะ

โปรแกรมที่อาจารย์ใช้ คือ PhotoScape เป็นโปรแกรมฟรี เราใช้มานานนมแล้ว มีหลายๆ feature เลย ทั้งตัดรูป เติมรูป เซ็นเซอร์ รวมรูป ใส่กรอบ ถ่ายรูปหน้าจอ แม้แต่ทำรูปติดบัตร ก็ยังได้

เราขอแนะนำเพิ่มอีกโปรแกรม ซึ่งฟรีเหมือนกัน ตามประสาของคนชอบลงของฟรีแบบถูกลิขสิทธิ์ นั่นคือ paint.net อันนี้เหมือน photoshop มี layer เหมาะสำหรับทำรูปมาใหม่ สามารถบันทึกตัวรูปที่เราแก้ได้ เพื่อปรับแต่งภายหลังได้

พอจบเนื้อหาแล้ว อาจารย์ให้พวกเราทำการสรุปและทบทวนกัน
ของแถมจากอาจารย์ ซึ่งใช้หลักการพรีเซนต์ที่อาจารย์เพิ่งสอนพวกเราไป มาใช้ให้พวกเราดู

1. 5 MEGA TREND
- digital economy
- aging society
- city society
- AEC
- global warning

2. อันนี้อาจารย์สรุปเรื่องต่างๆให้พวกเราฟัง พร้อมบอกเทคนิคการทำสไลด์ในแต่ละหน้า พวกเราสามารถเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์เล่า เช่น เรื่อง blockchain และอีกหลายๆเรื่อง เราไม่ได้จดมา แต่เข้าใจได้ทันที

3. การทำการตลาดในสมัยนี้ ต้อง HOOK เพื่อให้เราได้ลูกค้า
trigger กระตุ้นลูกค้า
action ลงไปหาลูกค้า
reward ให้รางวัล เช่น ลงแอปนี้แล้วได้เงินในแอป
investment ลูกค้าซื้อของเรา เย้


อาจารย์ได้เปิดคลิปพาราลิมปิก และอีกคลิปนึงจากหนัง เพื่อบอกพวกเราว่า อย่ายอมแพ้



สุดท้ายจริงๆของการอบรม ถ้าท่านใดอยากไปฟังที่อาจารย์สอน ซึ่งสอนฟรี ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่เซ็นทรัลบางนา ก็มาได้นะ จะมีอาจารย์เพิ่มขึ้นอีกท่านด้วย รสยละเอียดตามรูปเลย


เสร็จสิ้นกิจกรรมการอบรม ก็ชักภาพร่วมกัน (ไม่มีรูปเนาะ) จากนั้นอาหารเย็น
เราเลือกข้าวผัดปลาสลิด รสชาติดีทีเดียว พะโล้ออกหวานจัดเค็มจัดไปหน่อย ของหวาน คือเห็นกับข้าวแล้วขอบายดีกว่า เพราะไม่น่าจะทานได้หมด

จากนั้นมีการฝึกพรีเซนต์กันทีละคน ใช้เวลา 3 นาที และสรุปให้อาจารย์และเพื่อนๆฟังว่า ใช้หลักการอะไรที่ได้เรียนไปบ้าง

เอาบรรยากาศมาให้ดูก่อน รูปเยอะมากๆ ถ่ายทุกคนยกเว้นตัวเอง เพราะเราถ่ายตัวเองไม่ได้ แต่มีไลฟ์จากพี่ป๋อใน facebook group อยู่ บางท่านเราไม่รู้จักชื่อ และบางท่านจำไม่ได้ว่าพูดเรื่องอะไร ขออภัยด้วยคะ



เริ่มคนแรกที่พี่ฝ้าย นำเสนอตัวสครับผิว มีให้ทดลองใช้ด้วย พี่สุรชัยมีเขินๆเล็กน้อย



จากนั้นพี่ฝ้ายส่งไม้ต่อให้ คุณหมอนพคะ เกี่ยวกับอากาศสะอาด


ต่อมาพี่อุบลรัตน์ พูดเรื่องเกี่ยวกับภาษี


ทางวังมะนาวบอกว่าใครสนใจเรื่องข้าวโพด มาติดต่อได้จ้า


พี่สิริ นำเสนอเรื่องกล้วยอีกเช่นเคย


พี่บวรเกี่ยวกับหุ่นยนต์


พี่สุรชัย หนูจำไม่ได้แล้วว่าพูดเรื่องอะไร T^T


คุณพี่ท่านนี้พูดเรื่องการมีสติ


พี่แอนมานำเสนอนํ้ามันหอมระเหย พี่ป๋อก็แจกยาดมไป
อาจารย์บอกภายหลังว่า ถ้าจะแจกของ ควรจะแจกหลังจากที่เรานำเสนอเสร็จ เพราะคนฟังสนใจของมากกว่าคนพูด



พี่เขาเอาไปแจกที่สนามหลวงด้วยนะ


พี่เซียร์พูดเรื่องกิจการ startup ของพี่เขา ซึ่งมีการทำเรื่องการตลาดด้วย ครอบคลุมหลาย platform


พี่ท่านนี้พูดเรื่องสเปรย์บรรเทาอาการปวด สโลแกนดีมากๆเลย หลังพรีเซนต์มีการแจกของให้แก่กลุ่มเป้าหมายของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็น 1 ใน mega trend คือ ผู้สูงอายุนั่นเอง


จากนั้นส่งไม้ต่อกันไปเรื่อยๆ


พี่อุบลทิพย์ ได้ส่งไม้ต่อให้เรา เลยพูดเรื่องโปรเจกลุงสุขุม ซึ่งเราจะพูดในบล็อกต่อๆไป


จบท้ายที่พี่คนนี้ เอามือถือมาเปิดคลิปโปรโมตผลิตภัณฑ์ วิตามินซีผงผสมนํ้า ตบแก้สิว


อาจารย์ได้พูดปิดท้ายว่า เรียนแล้วต้องทบทวน และนำไปใช้จริง


----------------------------------------------------------------------------------

สรุปหลักการที่ได้ ดังนี้
(ตอนแรกว่าจะทำรูปใหม่ แต่ proposal ยังไม่เสร็จ เอารูปสรุปจากอาจารย์มาลงแทนแล้วกันนะ)

1. TURN


2. BOSS



3. SEE, not read


4. GHOST



5. CAMera



6. WHO STEP



----------------------------------------------------------------------------------

เพิ่มเติม เว็บไซต์นี้บอกเรื่อง 5 แหล่งรูปฟรี
http://grappik.com/5-web-download-free-image/

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทาง NIA ทั้งพี่ป๋อ พี่อุ๋ม พี่ปุ้ย ที่ดูแลพวกเราอย่างดีเสมอมา
ขอบคุณทางรุ่น 13 ที่ริเริ่มกิจกรรมดีๆแบบนี้ขึ้นมา
ที่ขาดไม่ได้เลย คือ พระเอกของงาน พี่สมบัติ ที่อาสามาสอนพวกเรากันฟรีๆด้วยคะ
ขอบคุณทุกๆท่านมากจริงๆ

สำหรับตอนนี้ขอลาไปปั่น proposal ส่งก่อนนะคะ สวัสดีคะ

ป้ายกำกับ:

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ในหลวงทรงเป็น The Greatest Charismatic Leader โดยกัปตันหมี จีรพัฒน์

เนื่องด้วยทางบริษัทของเรา ได้จัดการ training ในเรื่อง leadership development โดยได้เชิญจากวิทยากรข้างนอก ซึ่งมาอบรมให้พวกเราฟรีๆเลย วิทยากรท่านนี้ คือ กัปตันจีรพัฒน์ เอี่ยมสรรพางค์ หรือ กัปตันหมี ก่อนหน้านี้เคยเป็นนักเรียนนายเรืออากาศมาก่อน ปัจจุบันเป็นกัปตันของการบินไทย ขับโบอิ้ง 747 และครูการบิน ทางกัปตันได้เริ่มบรรยายเรื่อง leadership development มาสองปีแล้ว การบรรยายในครั้งนี้เป็นการบรรยายฟรีให้กับหน่วยงานที่สนใจ 9 หน่วยงาน เพื่อถวายแก่พ่อหลวงของเราคะ

ขออนุญาติแปะรูปจากเพจ Takeoff your Life by กัปตันหมี นะคะ ซึ่งเป็นเพจของกัปตัน ที่เพื่อนๆกด like อยู่ก่อนหน้านี้คะ


ขอแนบโพสความตั้งใจของกัปตันในการบรรยายในครั้งนี้คะ



และพี่ปูเป้ ผู้บริหารบริษัท ThaiGerTec หรือหัวหน้าคนสวยของเรา เป็นคนติดต่อมาหากัปตันเป็นบริษัทแรกเลยคะ กับความตั้งใจที่ให้พวกเราเป็นจิตอาสาไปทำงานนอกบริษัท (ไม่เกี่ยวกับบริษัทนั่นแหละ) เพื่อตอบแทนสังคม



การบรรยายในครั้งนี้ จัดขึ้นในวันที่ 2 พฤศจิกายน เวลาเก้าโมงเช้า ถึงเที่ยง ที่บริษัท ThaiGerTec ที่ทำงานของเราเอง กัปตันบอกว่าบริษัทเราอบอุ่นมาก คือบริษัทเราไม่ได้เป็นพิธีการอะไรมากมาย ดูจากเจ้านายที่แต่งตัวชิวๆทุกครั้งที่มา ทุกคนที่ทำงานก็ชิวๆ บรรยากาศดี เจ้านายเราตกแต่งออฟฟิคเองด้วย ถึงบางครั้งรูปที่เอามาติดพวกเราอาจจะงงๆในความหมายของมันไปบ้าง เห้ยยย พอๆ กัปตันเป็นกันเอง บรรยายได้ไม่มีเบื่อเลย มี passion ในสิ่งที่บรรยายเกิน 100 เลยคะ

เราไม่ได้จดแบบละเอียดทุกอณู(แบบงานก่อนๆที่เขียน)นะ เราจะจดหัวข้อสำคัญมา ทางกัปตันก็ได้ยกตัวอย่างประกอบด้วย และเราเองก็จะเขียนตามความเข้าใจของเราเนอะ บางเรื่องเราเขียนจากความรู้สึกจริงๆ อาจจะตกหล่นไปบ้างคะ เรียงถูกบ้างผิดบ้าง คำราชศัพท์ที่ใช้อาจจะไม่ค่อยเป๊ะ แต่ขอถ่ายทอดเรื่องราวได้ครบถ้วนแล้วคนอ่านเข้าใจตรงกันก็เพียงพอแล้ว

เข้าเรื่องดีกว่าเนอะ เมื่อถึงเวลาการบรรยาย กัปตันแนะนำตัว ตามที่เรากล่าวไว้ด้านบน

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับนักบิน จะเริ่มที่นักเรียนการบิน มีสองขีดที่แขน จากนั้นเป็น co pilot เป็นสองขีดครึ่ง senior co pilot 3 ขีด และ captain 4 ขีด

อีกข้อ ไม่จำกัดสาขาอาชีพในการเป็นลูกเรือนะคะ อย่างวิศวะคอมสามารถไปเป็นนักบินและแอร์โฮสเตสได้ (สอบให้ผ่านเกณฑ์เนาะ)



หัวข้อในวันนี้ The greatest charismatic leader our beloved king เป็นการสอนภาวะผู้นำและนำในหลวงมาเป็นตัวอย่าง น้อมนำพระราชดำริมาปรับใช้ ให้เราเกิดแรงบันดาลใจในการทำดี เพื่อถวายแด่พระองค์ท่าน

เริ่มสไลด์หน้าแรก เปิดวิดีโอวันที่ 13 และ 14 ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์การสูญเสียครั้งสำคัญของคนไทยทั้งประเทศ คือ การเสด็จสววรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในระหว่างนี้มีนํ้าตาคลอเบ้ากันบ้างหล่ะเนอะ
กัปตันถามว่าในวันนั้นเวลานั้นเราทำอะไร และจะทำอะไรต่อไป ...

หลังจากจบคลิป กัปตันได้เล่าถึงบุคคล 2 คน คือ
1. คุณอุทัย รปภ. ขับลิฟต์ ได้ถวายงานในหลวง มีวันนึงที่พี่แกประสบอุบัติเหตุ แล้วในหลวงรับเป็นคนไข้ในพระอนุเคราะห์
2. พี่แหมว กินอยู่หลับนอนที่ศิริราชเป็น 10 ปี เพื่อรับเสด็จในหลวง ปัจจุบันกินอยู่หลับนอนที่พระบรมมหาราชวัง เพราะศิริราชในใจของพวกเราทุกคน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...

และมีพี่ผู้หญิงท่านนึงที่สัมภาษณ์ให้กับ CNN ในวันที่ 13 ถึงความรักที่มีต่อในหลวง

ทางต่างประเทศได้วิจัยถึงความรักของคนไทยที่มีต่อในหลวง ที่บางท่านเห็นรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านแล้วนํ้าตาไหล ปลิ้มปิติต่อพระกรณียกิจที่พระองค์ท่านทำมาตลอด นั่นคือ tearing of happiness ซึ่งสามารถอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ โดยมี 3 ข้อ คือ
1. อยากเป็นคนดี : เราจะเป็นคนดี
2. อยากทำความดี : ทำความดีเพื่อถวายพระองค์ท่าน
3. อยากผูกพันธ์กับคนที่ทำความดี : ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป

reference ในการพูดครั้งนี้ของวิทยากร คือ พูดจากประสบการณ์ตรง ค้นคว้าจากตำรา และพลโทโสมนัส พลทหารที่ถวายงานแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นอาแท้ๆของกัปตันหมีคะ กัปตันได้กล่าวไว้ว่าคิดว่าตัวเองรู้เรื่องราวพระราชกรณีย์กิจของท่านดีพออยู่แล้ว พอโทรทัศน์ฉายสารคดี กลับพบว่ามีหลายๆเรื่องของพระองค์ท่านที่เรายังไม่เคยรู้มาก่อน

มีคำถามในส่วนนี้ คือ ทำไมเรารักในหลวง
คำตอบของพี่ปูเป้ : เนื่องจากพี่เขาเคยเป็นเด็กที่อยู่ในชนบทมาก่อน ได้รับสมุดพระราชาทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นสิ่งมีค่าของเด็กๆในยุคนั้น (ยุคเราไม่ทันเนอะ แถมเราอยู่ใน กทม ด้วย) สิ่งที่พระองค์ท่านให้ได้คือการศึกษา ท่านสอนให้เราเป็นคนดี ผลักดันให้พี่ปูเป้เป็นคนที่มีความสามารถ มีหน้าที่การงานที่ดี บ่อยครั้งที่ละเลยพระองค์ท่านไปบ้าง จนวันที่ 13 (เขียนไปนํ้าตาไหลไป) ที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคต พี่ปู้เป้ได้ระลึกถึงเรื่องราวต่างๆของพระองค์ท่าน ที่ทำความดีเพื่อประเทศชาติมากมาย (จำรายละเอียดไม่ค่อยได้ แต่ทุกคนรู้สึกติ้นตันเหลือเกิน)
คำตอบของกัปตันหมี : เนื่องจากเคยเป็นนักเรียนนายเรืออากาศ และเคยได้ถวายงานเป็นมหาดเล็กรักษาพระองค์ ภูมิใจทุกครั้งที่ได้ถวายงานพระองค์ท่าน มีครั้งนึงที่งานสวนสนาม ถ้าจำเหตุการณ์ที่เคลื่อนพระบรมศพ แล้วมีตำรวจพยุงทหาร ซึ่งพี่ทหารแกไม่สบาย จะเป็นลม แต่ต้องฮึบเพื่อส่งเสด็จพระองค์ท่าน เหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน เพื่อนหทราของกัปตันไม่สบายแต่ไม่ปริปากบ่น เพื่อนๆรอบข้างช่วยพยุง ทั้งๆที่เขาสามารถไปพักเพื่อให้ทหารสำรองเข้าไปแทนที่ เพราะไม่อยากพลาดการรับเสด็จพระองค์ท่าน ได้รับพระราชทานกระบี่จากพระองค์ท่าน

มาถึงส่วนการบรรยายเรื่อง leadership อย่างจริงจังแล้ว

ภาวะการเป็นผู้นำของพวกเราทุกคนอยู่ในขณะจิต

นิยามของ leadership ค่อยๆ develop ไปตามเวลา ดังนี้
Great man theory พระเจ้าประทานมาให้ (แบบพี่ธอร์กับคฑาสายฟ้าหรอ?)
Trait theory มีบุคลิกน่าเชื่อถือ มีนํ้าเสียงดุดัน ตัวใหญ่ ซึ่งแล้วคนตัวเล็กหล่ะ เป็นผู้นำได้ไหม?
Behavioral theory ความเป็นผู้นำสามารถฝึกฝนกันได้
Situational or Contingency leadership theory เอาผู้ตามเป็นศูนย์กลาง ผู้นำเปลี่ยนตามผู้ตาม
Transformational leadership theory รู้จักผู้ตาม ให้คำแนะนำส่งเสริม
สองสามอันหลังจะดู modern หน่อย และ
Charismatic leadership ผู้นำโดยบารมี อันนี้มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสีย คือ ผู้นำมีบารมี ไม่สนใจผู้ตาม ผู้ตามทำตามทุกอย่าง สั่งให้ไปตามก็ไปทำ อันนี้ไม่ค่อยแพร่หลาย และแปลเป็นไทยตรงตัวคำไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ บางคนจะนึกถึงคำว่า คาริสม่า ซึ่งหมายถึงเสห่น์ แต่ในบริบทนี้ไม่ใช่

ในหลวงทรงเป็นผู้นำแบบ inspiration leader สร้างแรงบันดาลใจให้กับพสกนิกรชาวไทย

การเป็นผู้นำก็เหมือนการปรุงอาหาร ส่วนใหญ่รู้วัถตุดิบแต่ไม่สามารถปรุงให้อร่อยได้ สูตรลับก็คือ secret sauce เหมือนว่าเชฟแต่ละคนมีวิธีทำให้อาหารอร่อยโดยวิธีที่แตกต่างกันไปเฉพาะบุคคล

competent leader ปรุงอาหารได้ แต่ไม่อร่อย เป็นผู้จัดการ ไม่ใช่เป็นผู้นำ

charisma is a gift ประโยคนี้จริงหรือเปล่า

จาก หนังสือเล่มนี้ The Inspiring Leader: Unlocking the Secrets of How Extraordinary Leaders Motivate เป๋นหนังสือขายดีของ new york time ได้บอกเคล็ดลับ 5 ข้อของการเป็นผู้นำที่ดี


1. clear vision : มีวิสัยทัศน์ชัดเจน
vision วิสัยทัศน์ คือ คาดการณ์สิ่งที่มองไม่เห็นในอนาคต มองการณ์ไกล คนอื่นเห็นประโยชน์ และมีการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริง
สิ่งที่ตามมา คือ mission พันธกิจ หมายถึงภาระ หน้าที่ ความรับผิดชอบ

- "เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม" ประโยคนี้ คือ mission ของพระองค์ท่าน ซึ่งรับภาระอันหนักอึ้งจากพระเชษฐา ในการดูแลปวงชนชาวไทย

2. technically savvy : รู้และชำนวญในสิ่งที่ตัวเองทำ เรียนรู้ตลอดเวลา
learning skill : รู้เรื่องนั้นให้ดีกว่าคนอื่น อ่านหนังสือ ให้เป็น top 10 ในสายอาชีพให้ได้
เราต้องเรียนรู้ที่จะรักงาน ทั้งๆที่เราไม่ชอบงานที่ทำ ศึกษาและทำมันให้ดี
กัปตันบอกว่าพวกเราอายุยังน้อย อย่าหยุดที่จะเรียนรู้ ไม่ใช่ว่าเราอยู่ที่เดิม แต่เราถอยหลังลง

- ในหลวงของเราครองราชย์ในช่วงที่กำลังศึกษาต่อต่างประเทศ ในใจพระองค์ท่านไม่คิดว่าพระเชษฐาจะสวรรคตเร็วขนาดนี้ อยากอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่พระเชษฐา ก่อนหน้าในหลวงศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม ก็ต้องเปลี่ยนมาศึกษาต่อด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เกษตรศาสตร์ เพื่อดูแลประชาชนของท่าน เมื่อวันที่ท่านกลับไปศึกษาต่อต่างประเทศ มีคนกล่าวกับพระองค์ท่านว่า ทรงอย่าละทิ้งประชาชน

- พระอัจฉริยะภาพของพระองค์มีหลายด้าน ทั้งการกีฬา เช่น กีฬาเรือใบตอนแข่งกีฬาแหลมทอง ด้านดนตรี ด้านการถ่ายภาพ ด้านภาษา โดยในหลวงทรงพูดได้ 5 ภาษา คือ ภาษาไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และลาติน ทำไมพระองค์ท่านทรงศึกษาภาษาลาตินหล่ะ เพราะต้องการศึกษากฎหมายให้ถึงราก

3. drove hard for exceptional people : ทำงานหนัก
สิ่งที่องค์กรหรือตัวเราต้องมี คือ vision mission และ value สิ่งที่เรายึดถือ

- ธรรมเนียมของกษัตริย์ใหม่ คือแนะนำตัวกับนานาประเทศรอบข้าง ซึ่งในหลวงทรงเลือกที่จะไปเยี่ยมเยียนราษฏรในภาคต่างๆ เพื่อดูความเป็นอยู่ของประชาชนของท่าน

- ในหลวงทรงเรียนรู้ที่จะรักงานของพระองค์ท่าน เรียนรู้ที่จะรักประชาชน

- ในหลวงทรงงานทุกวัน แม้กระทั่งเวลาประชวร มีอยู่ครั้งนึงที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง แต่ยังทรงห่วงงาน ให้ข้าหลวงนำคอมพิวเตอร์มาตั้งไว้หน้าห้องผ่าตัด เพื่อ monitor พายุ (เนื่องจากพระองค์ท่านต้องก้มลงไปคุยกับชาวบ้านตลอดเวลา ลุกๆนั่งๆ ทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทคะ)

- หลังจากที่ในหลวงและพระราชินีอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์เสด็จไปฮันนีมูนที่หัวหิน และโครงการในพระราชดำริแรกของสองพระองค์ คือ โดยพระราชทานรถบูลโดเซอร์ เพื่อตัดถนนที่หัวหิน ให้ประชาชนสัญจรได้อย่างสะดวก

4. cared about and developed people : ห่วงใยความรู้สึกของผู้ตาม
insight the searchlight of attention ผู้นำเอาตัวไปหาผู้ตาม ทำตัวให้เท่ากับผู้ตาม ลงไปคุยหรือคลุกคลีกับลูกน้อง ทำให้ลูกน้องกล้าคุยกับหัวหน้า

- ในหลวงพระราชทานปริญญาบัตรถึงปี 2540 เนื่องจากพระวรกายของพระองค์ท่าน สาเหตุที่พระองค์ท่านพระราชปริญญาบัตรให้กับบัณฑิตปริญญาตรี ซึ่งมีจำนวนมาก เพราะว่า ครอบครัวบัณฑิตดีใจที่ลูกสำเร็จการศึกษา พระองค์ท่านทรงเห็นบัณฑิตเหมือนลูกๆของพระองค์เอง จึงทรงยินดีด้วยและฝากฝังปณิธานไปสู่บัณฑิต

หลายครั้งที่ในหลวงและพระราชินีทรงงานในพื้นที่ชนบท ทุรกันดาล มีหลายเหตุการณ์ที่ประทับใจปวงชนชาวไทย สรุปจากกัปตันมี 2 เหตุการณ์
- คุณยายตุ้ม อายุ 102 ปี ที่จังหวัดนครพนม รอรับเสด็จในหลวงตั้งแต่สิบเอ็ดโมง โดยลูกสาวแกเป็นคนพาไป แต่จุดที่ยายรอรับเสด็จดันไม่ใช่เส้นทางที่ในหลวงผ่าน ในหลวงทรงทราบว่ามีประชาชนส่วนนึงมารอรับเสด็จท่าน จึงผ่านทางนั้นเพื่อเสด็จกลับ คุณยายได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่าน ได้ถวายดอกบัวสีชมพูสามดอก ซึ่งดอกบัวเหล่านั้นรอเวลาไม่ไหวจึงเหี่ยวไปเสียก่อน ในหลวงรับดอกบัวจากคุณยาย ยังความประทับใจให้คุณยาย สองปีให้หลังคุณยายเสียชีวิตอย่างสุขสงบ
- คุณป้าท่านนึง ป่วยหนักปวดท้อง ในสมัยก่อนการแพทย์ยังไม่เจริญ ไม่รู้ว่าป้าแกปวดท้องเป็นอะไร แต่แกนอนในเปลแล้วให้คนแบกมาเพื่อรอรับเสด็จในหลวง ด้วยอาการที่ไม่สู้ดัของป้า พระราชินีทรงทอดพระเนตรและตรัสถามป้าท่านนั้น พอทรงทราบความ จึงให้คนไปวอบอกในหลวง ซึ่งดูงานอยู่ในหุบเขา ที่ชาวบ้านทำการระเบิดเขาเพื่อเปิดทาง ในหลวงทรงวิ่งมาหาป้า และรับสั่งว่าให้ป้าขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนพระองค์ท่านจะทรงเรือกลับ สุดท้ายป้าแกปลอดภัยจากอาการไส้ติ่งแตก เพราะในหลวงส่งป้าไปรักษาทันเวลาคะ

5. high integrity and honesty : ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม สามารถตรวจสอบได้
start with why เราทำวันนี้เพื่ออะไร คิดถึงตัวเองก่อน ไม่ใช่เห็นแก่ตัวนะ คือรักตัวเองก่อน พอมีมากพอแล้วค่อยเผื่อแผ่ไปให้คนอื่น

The Making of an Inspirational leader
1. be a role model เป็นแบบอย่างที่ดี

2. change champion initiator สร้างความสำเร็จให้ไม่เหมือนคนอื่น หรือเป็นตัวของตัวเอง ไม่ตามรอยคนอื่น เช่น ในหลวงเสด็จไปในที่ทุรกันดารที่คนเข้าไปไม่ถึงเพื่อช่วยชาวบ้าน

3. actions speak louder that word การกระทำสำคัญกว่าคำพูด จะทำอะไรลงมือทำให้เห็นเลย มีความเพียรพยายามในการทำสิ่งนั้นๆ

ความประหยัด มัธยัส พอเพียง ของพระองค์ท่าน เป็นที่จดจำของปวงชนชาวไทย สรุปจากกัปตันได้ดังนี้
- ยาสีฟันที่พระองค์ท่านทรงบีบจนหมดหลอด เราเหมือนจะเคยเห็นของจริงน่าจะพิพิธภัณฑ์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เราเห็นแล้วทึ่งกับพระองค์ท่าน เพราะเราไม่สามารถบีบได้จนแบนแบบนั้น หรือหลอดยาสีฟันสมัยนี้บีบให้แบนแบบพระองค์ท่านได้ยาก? (สมัยนี้หลอดยาสีฟันเป็นพลาสติก สมัยก่อนน่าจะเป็นเหล็ก)
- อุปกรณ์การทรงงานของท่านมี 3 อย่าง คือแผนที่ที่พระองค์ท่านทรงวาดอย่างละเอียด ดินสอที่ใช้จดหมดด้ามและยางลบที่แทบไม่เหลือ พระองค์ท่านทรงเบิกปีละ 12 แท่ง เฉลี่ยพระองค์ท่านใช้ดินสอเดือนละแท่ง กัปตันหมีแอบแซวลูกสาวว่ามักจะทำดินสอหายเป็นสองพันครั้งต่อปี และสุดท้ายกล้องถ่ายภาพ
- เรื่องจักรยาน ด้วยความที่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พวกเจ้าก็ระหดระเหินไปยังต่างประเทศ สมเด็จย่าสอนในหลวงให้รู้จักอดออม ท่านอยากได้จักรยาน จึงเอาเงินเก็บมาซื้อ แต่เงินไม่พอ สมเด็จย่าเลยออกเงินให้ครึ่งนึง
- โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา เริ่มจากเงินเก็บของพระองค์ท่าน 38000 บาท (อันนี้ไม่ทราบว่าสมัยนี้ค่าเท่าไหร่) มาทำโครงการพระราชดำริ เช่น นมอัดเม็ดสวนดุสิต โรงเพาะเลี้ยงเห็ดหลินจือ ไอโอดีเซล โรงสีข้าว

พระสุรเสียงสุดท้ายที่ประชาชนได้ฟัง คือวันที่ 4 ธันวาม 2556 ที่พระราชพรแก่ประชาชนของท่าน พระองค์ท่านทรงเหนื่อยมามากในการดูแลประชาชนของท่าน เนื่องจากพระชนมายุของพระองค์ท่านมากขึ้นทุกวัน พระสุรเสียงของพระองค์ท่าน เหนื่อยล้าลงทุกปี

ส่วนวันที่ให้ตุลาศาลเข้ารับตำแหน่ง จำไม่ได้ว่าปีอะไร น่าจะ 2557 พระวรกายท่านไม่สู้ดีนัก จึงไม่ได้ประทานพรให้แก่ผู้รับตำแหน่ง

กัปตันหมีได้กล่าวเสมอว่า พ่อพอเถอะ พ่อเหนื่อยมามากพอแล้ว

โครงการในพระราชดำริ มี 4447 โครงการ ในตลอดระยะเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ 70 ปี

บางเรื่องพระองค์ท่านเคยกล่าวไว้ก่อนชาติตะวันตก เช่น เรื่องภาวะโลกร้อน พระองค์บอกว่ามาจากก๊าชคาร์บอนที่ก่อตัวเป็นกระจกที่ด้านบนชั้นบรรยากาศ (เราอาจจะอธิบายงงๆไปเสียหน่อย) พระองค์ท่านบอกสาเหตุที่แท้จริงของภาวะโลกร้อน คือ ความโลภของมนุษย์ 

การทำ infographic ฝนหลวง ทรงมีพระอารมณ์ขันสอดแทรกไปด้วย

บางเรื่องพระองค์ท่านกล่าว แต่ไม่มีใครสนใจ เช่น เศรษฐกิจพอเพียง โครงการแก้มลิง

และสุดท้าย 9 บทเรียนในช่วงเวลานี้ โดยมีที่มาจากบทความ 9 บทเรียนจาก 3 วันที่ผ่านมา จากบล็อกของคุณ ANONTAWONG MARUKPITAK ดังนี้
1. ปัญหาของเรามันเล็กน้อยมาก : พระองค์ท่านเจอปัญหามามากมายเมื่อเทียบกับปัญหาของเรา และถ้าเราเจอปัญหากับอะไรก็ตาม สักพักเราก็จะลืมมันไป (ส่วนตัวคิดว่าข้อความนี้ไม่ได้ครอบคลุมคนที่เป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้าแหะ ซึ่งเป็นข้อความที่ไม่ค่อยดีนัก)
2. สิ่งที่ทำให้ท่านเหนือกว่าคนอื่น คือ ความเพียรพยายาม ความวิริยะอุตสาหะของพระองค์ท่าน
3. เหตุผลของการดำรงอยู่ : ความหมายของชีวิต เราทำไปเพื่ออะไร (คล้ายๆเราเกิดมาเพื่อทำอะไร)
4. ความเป็นที่รักและเคารพ : ไม่ใช่บารมี แต่เกิดจากการที่เราทำอะไรให้คนอื่น (ความเข้าใจของเราคือไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือต่อยอดผลประโยชน์) เราสามารถเริ่มจากการเป็นคนดี ที่ไม่เป็นภาระต่อสังคม
5. ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไป : เราเป็นคนดีพอหรือยัง?
6. เรื่องบางเรื่องเอาไว้ทีหลังไม่ได้ : บางเรื่องคือพลาดแล้วพลาดเลย ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
7. ถึงเวลาโตได้แล้ว : เราต้องรับผิดชอบตัวเองให้ได้ อย่าพึ่งพาคนอื่นเพียงอย่างเดียว เช่น บางคนบอกว่าไม่มีในหลวงแล้วประเทศจะเป็นอย่างไร (คืองงกับคนคิดแบบนี้ ทำไมเราไม่ช่วยกันทำอ่ะ ในเมื่อเราก็อยู่ในสังคมเดียวกัน)
8. อย่าให้เหตุการณ์สูญเปล่า
9. ชีวิตต้องดำเนินต่อไป : เศร้าได้แต่อย่านานนะจ๊ะ

การอบรมในครั้งนี้จบลงอย่างสวยงาม แบบไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งนํ้าตาของเพื่อนร่วมงานที่มีต่อในหลวงของเรา นํ้าตาคลอกันถ้วนหน้า มีการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และถวายความอาลัยต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ธรรมเนียมของทุกงานคือการชักภาพที่ระลึกร่วมกัน ต่างคนต่างขอบคุณซึ่งกันและกัน ทางพวกเราขอบคุณที่วิทยากรแชร์เรื่องราวดีๆ ทางวิทยากรก็ขอบคุณพวกเราสำหรับประสบการณ์ในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างประทับใจกันไม่รู้ลืม



ดังนั้นเราจึงขออนุญาติกัปตันหมีเพื่อส่งต่อเรื่องราวดีๆแบบนี้ ซึ่งทางกัปตันมีความยินดีอย่างมาก เพื่อให้หลายๆท่านที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง ได้อ่านกันจนจบคะ :)

ป้ายกำกับ: