วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

[Review] มาจิคคลีนไวเปอร์ ดูสิว่าจะทำความสะอาดบ้านได้ไวเวอร์แค่ไหน



แม่เราเห็น Ads ของ มาจิคคลีนไวเปอร์ อยู่ในทีวี แถมบอกว่าแจกฟรี 10,000 คนด้วย แม่บอกให้ลงทะเบียนเลย เราก็ลงเลย เพราะแจกฟรี ซื้อเองก็แพงเนาะ อะไรงี้


หลังจากรออยู่นาน เราก็ได้มา เย้ เขาให้ชุดไม้ถูพื้นมา พร้อมกระดาษแบบแห้ง มาดูกันดีกว่า ว่าแต่ละชิ้นมีอะไรบ้าง

ตัวไม้ถูพื้น ราคา 590 บาท บอกเลยว่าเราสามารถประกอบเองง่ายๆ


กระดาษทำความสะอาดชนิดแห้ง ราคา 119 บาท มี 20 แผ่น


และใน set ที่ขายมีแบบเปียก 8 แผ่น 99 บาท ซึ่งในที่นี่ไม่ได้มีแจกด้วยนะจ๊ะ


ในที่นี้จะมารีวิวทั้งหมดของ Magiclean Wiper ว่าจะเป็นอย่างไร


มาถึงสถานที่ทดลอง นั่นคือ ห้องที่คอนโดแห่งหนึ่ง ซึ่งตอนแรกเป็นห้องเปล่าๆอยู่ และให้ช่างมา build-in ห้องบางส่วน พื้นเป็นลามิเนต


แกะชุดไม้ถูว่ามีอะไรบ้าง มีตัวถู แห่งอลูมิเนียม 3 ชึ้น และตัวด้าม พร้อมกระดาษทำความสะอาดแบบแผ่น 1 แผ่น 


เขาเคลมว่ากระดาษทำความสะอาดนี้เป็นไมโครไฟเบอร์ ช่วยเก็บฝุ่น สามารถใช้งานได้สองด้าน ใช้แล้วทิ้งได้ เหมาะสำหรับคนไม่มีเวลาทำงานบ้านและคนขี้เกียจทำงานบ้าน เช่นเรา


ประกอบร่าง ซึ่งประกอบไม่ยาก เอาออกก็ไม่ง่ายขนาดนั้น อันนี้เคยลองเอาออก ปรากฏว่ามีอันนี้เอาออกไม่ได้จ้า การเสียบกระดาษก็ไม่ยาก ตามรูปเลย กดตรงมุมหน้าไม้ถูสี่ด้านเลยจ้า


สุดท้าย หน้าตาเป็นดังนี้



ถูฝุ่นรอบแรก โหววว ฝุ่นเยอะมาก ผมก็เยอะ 


แต่ไม่ได้สะอาดทั้งหมดขนาดนั้น ถ้าวัตถุที่ใหญ่กว่าฝุ่น นางเก็บไม่ได้จ้า เรียกได้ว่าความหวังหล่นวูบเลย เพราะมันแทนไม้กวาดไม่ได้ทั้งหมดหน่ะสิ


 เราเองเมื่อเห็นด้านแรกขนาดนี้ ไม่กล้ากลับด้านใช้แล้วจ้า ดึงแผ่นใหม่ใช้โลด


คุณสมบัติการมุดพื้นของไม้นี้ เขาไปถูที่ซอกแคบๆได้ เช่น ใต้โซฟา ใต้ผ้าม่าน ข้างตู้เย็น


ลองมาใช้แบบเปียก หน้าตาไม่ต่างกันเลย กลิ่นมินท์หอม แต่ถูไปแปปเดียว ไม่เปียกซะแล้ว โอ้ยยย ถูแปปเดียวกระดาษแห้งเฉยเลยยยยยยยยยย


มาสรุปกันดีกว่า ว่าได้อะไรจากการใช้ผลิตภัณฑ์นี้บ้าง
(+) สะดวกในการกวาดฝุ่น เศษผม ไม่ฟุ้งกระจาย
(-) แต่เศษที่ใหญ่กว่าฝุ่น อาจจะเป็นกรวดน้อยๆ อะไรประมาณนี้ ต้องเอาทิชชู่ไปเก็บเอง
(+) ประหยัดเวลาในการทำความสะอาดบ้าน
(+) เหมาะกับคนที่อยู่คอนโด หอพัก
(-) แต่ไม่เหมาะกับบ้าน เพราะเอาจริงๆใช้กระดาษทำความสะอาดเยอะกว่าจะสะอาดทั้งบ้าน อันนี้เหมาะกับผ้าดันฝุ่นมากกว่า
(-) ราคากระดาษทำความสะอาดแบบแห้ง 109 บาท 20 แผ่น ตกแผ่นละ 5.45 บาท และแบบเปียก 99 (+) บาท 8 แผ่น ตกแผ่นละ 12.375 บาท ค่อนข้างแพงทีเดียว แบบแห้งพอไหว แต่แบบเปียกไม่โอเคค่ะ คือเสียค่าใช้จ่ายก็ประมาณนึงหลังจากซื้อไม้ถู
(+) ทำความสะอาดในซอกแคบได้ รวมถึงหัวไม้ถูหมุนได้
(-) แต่ตรงหมุนได้บางทีหมุนเอง ดูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่
(+) จัดเก็บและขนย้ายได้ง่าย
(-) เจอพื้นเปียกนี่ บ๊ายบายเลยจ้า ความดีงามในการเก็บฝุ่นและเศษผมที่ทำมา

ให้คะแนน 6/10 แล้วกัน คือมันแทนไม้กวาดและไม้ถูไม่ได้ทั้งหมด แม่ยังบอก ซื้อไม้กวาดกับไม้ถูมาเพิ่มเถอะ ใช้แบบนี้เปลืองมากกกก เราเองก็กำลังหาผลิตภัณฑ์ทดแทนอยู่เช่นกัน เฮ้อออออ

สำหรับตอนนี้ลาไปทำความสะอาดบ้านก่อนแล้วกัน สวัสดีค่ะ

ป้ายกำกับ:

วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

มาอัพหน้าเว็บเราจาก firebase hosting ด้วย github กันเถิดดด

เนื่องด้วยเราทำหน้าเว็บผ่าน firebase hosting ซึ่งอ่านจากบล็อกแล้วมันง่ายมากๆ เลยไม่รู้จะเขียนอะไรดี

จะเขียนเรื่องการทำ front-end ที่เป็น static website ก็ไม่มีความรู้มากพอขนาดนั้น ส่วนใหญ่ใช้ bootstrap ด้วยสิ ก็อปแปะวางๆเอา

พอเราเริ่มขน code ต่างๆขึ้นบน github เราก็เริ่มคิดว่า ถ้าเราแก้โค้ดเว็บเราจากที่ไหนก็ได้ หมายถึงในมือถือ ในไอแพดงี้ แก้เสร็จสั่งขึ้นเลยงี้ ดีกว่าต้องมาเปิดคอมพิมพ์คำสั่ง มันจะทำได้ไหมนะ มาลองกันดีกว่า เริ่มที่ video ของทาง firebase ว่าทำอย่างไร


เริ่มเรื่องอย่างละเอียด การทำ firebase hosting ว่ามีวิธีอย่างไรบ้าง
สรุปย่อๆ สร้างโปรเจกใน firebase เลือก hosting


เปิดมาจะเป็นดังนี้ มาเริ่มกันเลยดีกว่า


ก่อนอื่นดาวน์โหลด node.js มาก่อนนะ
และเตรียมหน้าเว็บให้เรียบร้อย

จากนั้นติดตั้ง tool ของ firebase โดยใช้คำสั่ง
npm install -g firebase-tools
คำสั่งนี้ สามารถติดตั้งทั้งตัว hosting, database และ cloud function


เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลงชื่อเข้าใช้กันก่อน
firebase login
จากนั้นจะมีหน้าต่าง permission ขึ้นมา ในหน้า browser

และเราทำให้ folder นั่นเป็น folder หลักในการอัพเว็บ หรือ local path นั่นเอง โดยใช้
firebase init
มีให้เลือกสามตัวด้านบนที่กล่าวไป เลือก hosting เน้ออออ

และเวลาเราอัพหน้าเว็บ เราใช้คำสั่ง
firebase deploy
ไปรัวๆ 


สุดท้ายเราก็ได้หน้าเว็บของเรา บน firebase hosting


ทั้งนี้ทั้งนั้น สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://firebase.google.com/docs/hosting/

และอัพโค้ดของเราลง github ก่อนนะ
จากนั้นเปิด service Travis CI ด้วยนะ

travis CI คืออะไร 
CI คือ Continue Integration สามารถทำงานตาม process ที่กำหนดไว้ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
ในการทำเทสที่บริษัทเรา ทางบริษัทลูกค้าก็จะเริ่มใช้ระบบนี้ ให้ทุกอย่างเป็น automated test โดยไม่มีคนมาเกี่ยวข้อง นั่นคือเราก็ไม่ต้องทำอะไรเองทั้งหมด ปล่อยระบบทำไปงี้ ถ้าพังก็หยุดตรงนั้นแล้วบอกเราว่า มันเกิดอะไรขึ้น




มาถึงของจริงกันบ้างแล้วววววววว
หลักการเป็นดังนี้


หลังจากที่เรา deploy ไป สร้างไฟล์ configuration เพิ่มเติมเพื่อการนี้
สร้างไฟล์ .travis.yml เพื่อใช้เรียกในการ push file ลง github โดยไส้ในจะเป็นดังนี้


ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมในการทำ Unit Test ของเว็บเราเลยทีเดียว

เมื่อสร้างไฟล์เสร็จแล้ว ไปที่ cmd ใช้คำสั่ง
firebase login:ci


สักแปปจะมีหน้าขอ permission โผล่มา ขอเราสร้าง token


จากนั้นก็จะพาไปเว็บของเรา


พอเสร็จแล้วจะมีเลขยาวๆชุดนึงออกมา นั่นคือ token นั่นเอง ขอ sensor นะเออ


จากนั้นก็อปปี้ token มาใช้เป็น environment variable ของเราต่อไป
เอาไปกรอกที่ travis CI เลยจ้าาาา

ก่อนไปกรอกก็ sync project กันก่อน แล้วพี่ travis CI ก็จะดึงโปรเจกทั้งหมดใน github ขึ้นมา
กด switch เปิดที่โปรเจกที่เราจะทำ จากนั้นไป set environment variable โดยกดรูปฟันเฟืองสีฟ้า




จากนั้นสร้างตัวแปรชื่อ FIREBASETOKEN แล้วนำค่า token ที่ได้ไปใส่ใน value



จริงๆจะใส่ดื้อๆที่ตัวไฟล์ travis ก็ทำได้เหมือนกันนะ แต่ไม่ควร เพราะถ้าคนร้ายได้ไฟล์เรามางี้ เราก็เสร็จเนาะ ดังนั้นเราจึงไป set environment variable แทนนะ เพื่อความปลอดภัย

ทุกครั้งที่เรามีการอัพเดตบน github ทางพี่ travis CI จะทำงาน แล้วแจ้งผลมาทางอีเมลล์ของเรา


ผลการรันจะเป็นดังนี้


ซึ่งเว็บตัวอย่างก็อยู่แถบด้านบน ตรง About Me

Reference:
Automatically Deploy Static Web App to Firebase Using GitHub and Travis CI

ปิดท้ายกับเว็บที่แนะนำการปรับปรุงหน้าเว็บของเรา
และ

เราต้องศึกษาให้มากหน่อย เพราะเราไม่ใช่สายเว็บเนอะ
อย่างน้อยก็ช่วยเรา Improve performance หน้าเว็บเราได้

ป้ายกำกับ: ,

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

[Review] แต่งหน้าเบอร์ไหนก็ไม่ต้องห่วงสิวขึ้น ด้วย Bifesta Cleansing Lotion Sebum & Acne Care

สวัสดีทุกท่าน เนื่องจากสาวๆทุกคนต้องแต่งหน้าออกจากบ้าน ไม่ว่าจะแค่ทาแป้ง หรือแต่งหน้าจัดเต็มแบบมาร์กี้ในโฆษณา เราก็ต้องล้างหน้าให้สะอาดเนอะ แต่การล้างเครื่องสำอางด้วยโฟมล้างหน้าอย่างเดียวมันไม่สะอาดเท่าไหร่ บางทีต้องล้างหลายๆรอบ หน้าแห้งไปอีก แถมเครื่องสำอางบนใบหน้าก็ยังไม่หมด กลายเป็นสิวตกค้าง ต้องตามไปรักษา ตามไปแก้อีก ในวันนี้เรามีตัวช่วย นั่นคือ cleansing นั่นเอง ซึ่งเราใช้ก่อนล้างหน้า เพื่อขจัดเครื่องสำอางออกจากใบหน้า

cleansing ในท้องตลาดมีหลายแบบ ทั้งแบบโทนเนอร์ ซึ่งมันคือโทนเนอร์เนอะ ไม่รวมเป็น cleansing แบบครีม และแบบยอดนิยม คือ แบบนํ้า ซึ่งในวันนี้เราจะมาแนะนำตัวยอดนิยมในท้องตลาดที่ใครๆก็กล่าวขึ้น (อันนี้จริงๆนะ ไม่ได้อวยแต่อย่างใด) และเรายังไม่เคยใช้ด้วย นั่นคือ Bifesta Cleansing Lotion นั่นเองงงงงงงงง


Bifesta Cleansing Lotion เป็น เคลนซิ่ง วอเตอร์ จากญี่ปุ่น สามารถล้างเครื่องสำอาง ลบสะอาดหมดจด แม้แต่งหน้าจัดเต็ม หรือเมคอัพกันน้ำ แถมเช็ดแล้วไม่ต้องล้างน้ำซ้ำ และทำความสะอาดได้ล้ำลึก ผลที่ได้ คือ ลบเมคอัพหายเกลี้ยง ลบเมคอัพสะอาด พร้อมบำรุงผิวด้วย หน้าสะอาดใส ไม่แห้งตึง เพราะ
มี Hyaluronate ช่วยเติมความชุ่มชื่นให้ผิว และมี Micellarดูดจับสิ่งสกปรก ดังนั้นก็สมกับสโลแกนของสินค้าที่ว่า ลบเมคอัพเนียนใส แต่งเบอร์ไหนก็สนุก



มาดูข้อมูลของผลิตภัณฑ์กันสักนิดนึง
- โลชั่นสูตรน้ำยอดขายอันดับ 1 ในญี่ปุ่น
- โลชั่น สูตรน้ำ เช็ดเครื่องสำอางได้สะอาดหมดจดในขั้นตอนเดียว
- Oil-free ไม่เหนอะหนะผิว ให้ความรู้สึกเบาสบายสดชื่น
- สารบำรุง Hyaluronate ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว
- ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม สี และสารกันเสียชนิดพาราเบน
- ผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้ได้

ซึ่ง Bifesta Cleansing Lotion มีสองสูตร คือ

Bifesta Cleansing Lotion Acne Care

• Bifesta Cleansing Lotion Acne Care : สำหรับผิวที่เป็นสิว โดยเฉพาะในวัยทำงาน
- สารฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว พร้อมสารลดการอักเสบ

Bifesta Cleansing Lotion Sebum

• Bifesta Cleansing Lotion Sebum : สำหรับผิวผสม - ผิวมัน
- สารสกัดจากชาเขียว (Green Tea Extract) ช่วยกระชับรูขุมขน
ซึ่งในบล็อกนี้จะรีวิวสูตรนี้กันนะคะ ชวิ๊งงงงง~~~


มาดูของกันก่อน ขนาดขวด 300 ml เรียกได้ว่าจับถนัดมือเลยทีเดียว


มาอ่านด้านหลังกันก่อนแกะใช้


ก่อนใช้ก็แกะตามรอยปรุก่อนนะเออ แต่ระวังมันจะซอกเล็บเรา เราโดนมาแล้ว TT^TT


มาชักภาพหลังพิธีกรรมการลอกคราบเสร็จสิ้น


ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งกดปั้ม เอาพลาสติกตรงนี้ออกก่อนนะเออ


มาศึกษาวิธีใช้กันก่อน



มาลองใช้กันดีกว่า :
1. กดหัวปั๊ม 2-3 ครั้งให้โลชั่นหยดลงบนสำลี แล้วเช็ดออกเบาๆให้ทั่วผิวหน้า


2. เปลี่ยนสำลีเช็ดซ้ำจนกว่าจะหมดคราบเครื่องสำอาง
3. ไม่จำเป็นต้องล้างน้ำออก หรือล้างหน้าซ้ำด้วยโฟมหรือเจลใดๆ เพื่อปล่อยให้โลชั่นช่วยบำรุงผิวหน้า

จากรูป ขวามือทั้งสองคือทำความสะอาดผิวหน้าด้วย Bifesta ตามขั้นตอน และผลได้แบบรูปด้านซ้ายมือ ผิวหร้าสะอาดใส ไม่แห้งตึง บอกว่าไม่ต้องล้างหน้าซํ้า เลยทำตามที่เขาบอก อาบนํ้าเสร็จทาครีมต่อเลย 555 เหมาะสำหรับคนขี้เกียจ ลบเมคอัพสะอาด พร้อมบำรุงผิวด้วย ก็ดีตามคำรํ่าลือจริงๆอ่ะ เวลาที่เราเซ็ดหน้าด้วย Bifesta ใหม่ๆ รู้สึกถึงความเย็นบนผิวหน้าด้วยอ่ะ


เราใช้สำลีไป 2 แผ่น ก็สะอาดแล้ว สำหรับคนที่ใช้แป้งผสมรองพื้นไปวันๆเช่นเรา


ตัวอย่างการทดลองอีกอัน เนื่องจากในชีวิตประจำวันทาแป้งผสมรองพื้นเพื่อความอยู่รอดของน้องแพนด้าใต้ตา ดังนั้นจึงนำเครื่องสำอางคุณแม่มาลองป้ายแขนดู และนำสำลีชุบ Bifesta ของเรา พบว่า ลบเมคอัพหายเกลี้ยง เกลี้ยงแบบเกลี้ยงจริงๆ พยายามเพ่งหากลิตเตอร์ก็ไม่มีแหะ ซึ่งสามารถทำความสะอาดได้ล้ำลึกจริงๆ


มาให้คะแนนกันดีกว่า
เข้าใจแล้วว่าทำไม beauty blogger ทั้งหลาย รวมถึงคนรอบข้าง ทำไมถึงปลาบปลื้มตัวนี้มากๆ
เพราะว่าลบเมคอัพหายเกลี้ยง หน้าไม่แห้งตึง ไม่ต้องล้างหน้าซํ้า บำรุงผิวหน้าต่อได้เลย ไม่ขม ไม่แสบหน้า เหมาะกับคนที่แต่งหน้าทุกวัน และอาจจะเหมาะกับคนขี้เกียจด้วยก็ได้
ให้ 10 10 10 ไปเลยจ้าาา รออะไรอยู่เล่าาาา เรื่องราคาช่างมันเถอะ เพราะคุณภาพสมราคาจริงๆ


ช่วงนี้มีโปรโมชั่น ซื้อ Bifesta Cleansing Lotion Brightup (300 ml) ฟรี refill 270 ml. ราคา 290.-
ถ้าสนใจ ตามไปตำได้ที่ Watsons, Boots, TOPS, Tesco, Tsuruha, The mall, BigC และ Matsumoto Kiyoshi และ ปริมาณ 300 มล. ปรับราคาใหม่จาก 390 .- เป็น 290.- คุ้มสุดๆไปเลยใช่ไหมฮะ (ทำเสียงน้องกังฟู)

สำหรับตอนนี้ลาไปก่อน สวัสดีจ้าาาา

---------------


ป้ายกำกับ: